Wednesday, December 8, 2010

ดอยอะไร ..ไม่เหมือนเดิม ??


ดอยอะไร ..ไม่เหมือนเดิม ???

เห็นหัวข้อแล้วอย่าเพิ่งสับสน หรือแปลกใจ ... ว่าเอ๊ะ! มันเกี่ยวอะไรกับอาหารและเครื่องดื่ม เกี่ยวจริง ๆ ครับ ..ขอบอก

ไม่ใช่ว่าจะพาไปกินอาหารบนดอย หรือไปเก็บผักจากยอดดอยมาทำอาหาร ... แต่เพราะคำว่า “ดอย” เนี่ย ถูกนำมาใช้เป็นชื่อของ กาแฟแบรนด์ดังทั้งหลาย .. จนแทบจะกลายเป็นเทรนด์ว่า กาแฟอร่อย ต้องมี “ดอย” นำหน้า (จริงเหรอ ???)

ว่ากันที่เรื่องของชื่อซะก่อนว่า กาแฟนั้นมักจะแบ่งประเภท แบ่งชนิดกันไปในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการแบ่งตามสายพันธุ์ เช่น โรบัสต้า หรือ อราบิก้า ... แบ่งตามวิธีหรือลักษณะการชง เช่น Espresso Cappuccino Latte’ หรือ Americano เป็นต้น

ส่วน “ดอย” ต่าง ๆ นั้น ที่เห็นชัด ๆ โดยเฉพาะแบรนด์ดังทางเหนือ .. ถือว่าแบ่งตามสถานที่ปลูก หรือแหล่งที่มาของเมล็ดกาแฟนั้น ๆ .. เช่น กาแฟดอยตุง เมล็ดกาแฟก็มาจากยอดดอยตุง กาแฟดอยช้าง เมล็ดกาแฟก็มาจากดอยช้าง หรือ กาแฟ(ดอย)วาวี ก็มาจากดอยวาวี เป็นต้น หากเปรียบเทียบกับของต่างประเทศ ก็จะคล้ายกับ กาแฟบราซิล กาแฟบลูเมาท์เทน กาแฟชวา กาแฟสุมาตรา ฯลฯ ... ฉะนั้นเราก็อาจจะพอเดา ๆ ได้ว่า กาแฟเหล่านั้นจะมีคุณภาพดีมากน้อยเพียงใด ก็ดูได้จากชื่อ จากแหล่งที่มานั่นเอง

หลังจากที่เกริ่นมาพอควร .. เข้าเรื่องเลยดีกว่า เหตุที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะเกิดความอึดอัด คับข้องใจมานานแล้ว กับประสบการณ์การดื่มและชิมกาแฟร้านต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะร้านที่มีชื่อว่าดอยนำหน้านี่แหละ .... ซึ่งเหตุการณ์ล่าสุดที่เป็นแรงบันดาลใจ ให้เขียนเรื่องจริง(ผ่านจอ) และไม่อิงนิยาย (แต่อิงประสบการณ์) ก็คือ การได้ลองชิมกาแฟดอย(ตัวใหญ่ๆ)...ไม่ขอเอ่ยนาม เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา จาก 2 ร้าน 2 สถานที่ ในเมนูเดียวกัน ราคาเท่ากัน แต่รสชาดไม่เหมือนกัน

เชื่อแน่นอนว่า คอกาแฟทั้งพันธุ์แท้ และพันธุ์เทียม ... ผู้ที่หลงไหลการดื่มกาแฟ หรือผู้ที่หลงไหลเพียงโลโก้ของกาแฟ อาจจะรู้สึกหมายมั่นปั้นมือ หรือ “คาดหวัง” ว่า กาแฟแบรนด์เนมทั้งหลาย จะอร่อยสมราคา(แพง) หรืออร่อยสมคำร่ำลือ

แต่จากประสบการณ์มันสอนผมว่า “กาแฟดีไม่จำเป็นต้องแพง ... และกาแฟที่แพง ก็อาจจะไม่ดีเสมอไป” เพราะคำว่า “ดี” ของผม มันไม่ได้หมายความแค่เรื่องของความดัง ความแพง หรือคุณภาพของกาแฟเท่านั้น แต่คำว่า “ดี” ของผม หรือของใครหลาย ๆ คน มันหมายความถึง ความพึงพอใจ .. ทั้งในรสชาด ราคา มาตรฐาน บรรยากาศ บาริสต้าสวย ..ฯลฯ

(ข้อหลังนี่เป็นความชอบส่วนตัว 55)

กลับมาเล่าต่อ ว่าเกิดอะไรขึ้น .. กาแฟแก้วแรก เป็น Cappuccino เย็นขนาด 16 Oz. ราคา 65 บาท ซื้อจากร้านแถวบ้านที่มีโลโก้ “ดอย.....” เพื่อเป็นการยืนยันว่าร้านชั้นใช้เมล็ดกาแฟคุณภาพดีนะ ... สังเกตจากเครื่องชง หลักสามหมื่นกว่า ๆ

การแพ็คกาแฟก็ดูใช้ได้ แต่ Crema ไม่ค่อยงาม หน้าตาคนขายไม่สวยแต่ยิ้มแย้มแจ่มใสดี (อันนี้มีผล) ข้อหลังนี้สื่อถึงความสุขในการทำกาแฟนะครับ ไม่ใช่แค่เรื่องภายนอกอย่างเดียว หลายท่านคงเห็นด้วย ..เพราะอาจเคยกิน “กาแฟหน้าบูด” หรือ “กาแฟหน้างอ” กันมาบ้าง

ประมวลผลเสร็จสรรพ ได้ Cappuccino เย็นที่ต้องการมา 1 แก้ว(กระดาษ ฝาโดม) ดูดคำแรก โอ้วพระเจ้า ... “กาแฟห่......ไรมันเปรี้ยวอย่างนี้วะ” ขอบอกว่า ผิดหวังอีกแล้วกับกาแฟดอยนี้ ... ทิ้งไป 65 บาท

อีกวันถัดมา ได้ออกไปทางอำเภอรอบนอก แล้วเกิดอยากเติมคาเฟอีนให้ร่างกาย ...นึกขึ้นได้ว่า มีกาแฟ ดอยเดิม อยู่บนทางผ่าน ก็เลยแวะซื้อ เมนูเดิม Cappuccino เย็นขนาด 16 Oz. ราคา 65 บาท เหมือนกันเป๊ะ .. แต่คราวนี้ มาเป็นแก้วพลาสติกใส สกรีนยี่ห้อ พร้อมฝาโดม และโฟมนมซินนาม่อน .. จากคำบอกเล่าของคนที่ลงไปซื้อ คือ ภรรยา .. ว่ากาแฟนี้น่าจะมาจากเครื่องชงราคาหลักแสน (จากการคาดเดา) ... หรือจะหลักอะไรก็ช่าง .. ซึ่งแว่บแรกที่ผมดูด (ยังไม่รู้ราคาของเครื่อง..เดี๋ยวจะหาว่าอุปทาน) รสชาดมันดีกว่าแก้วเมื่อวานมาก ๆ แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกประทับใจอยู่ดี เพราะจากสัมผัสรสชาด และกลิ่น ผมว่ามันยัง “ไม่ถึง” ... ส่วนตัวขอให้แค่ 6 เต็ม 10

ทั้งหมดทั้งมวลที่พูดถึง ...ตั้งใจสรุปได้ว่า กาแฟที่ดี หรือกาแฟที่อร่อย ๆ สักแก้วนั้น มันเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยมาก ๆ ... ตั้งแต่ต้นกระบวนการ นั่นคือ วิธีการปลูก สถานที่ปลูก ปัจจัยอะไรต่าง ๆ มากมาย .... จนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายที่ร้าน เครื่องชง ส่วนผสม การบด การอัดกาแฟ คนชง บรรยากาศ บรรจุภัณฑ์ มาตรฐาน ... จุกจิกจิปาถะ จนได้กาแฟแก้วที่วางตรงหน้าท่าน มันละเอียดทุกขั้นตอน ... จึงอยากจะเป็นอุทาหรณ์ให้คนที่คิดจะเปิดร้านกาแฟ ว่าต้องละเอียด คิดและใส่ใจให้ครบทุกขั้นตอนเช่นกัน มันไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่สำเร็จรูปเหมือนกาแฟ 3 in 1 .. หรือไม่ได้สวยหรู ดูดี เหมือนซีรีส์เกาหลีเรื่อง Coffee Prince

สำหรับคนที่เป็นผู้ซื้อ ผู้ชิม ผู้ควักเงินออกจากกระเป๋า ... เพื่อแลกกับ “สุนทรียของกาแฟ” ก็อย่าได้หลงเชื่อ.. ตามกระแส หรือคาดหวังอะไรกับ “กาแฟมีแบรนด์” .. หรือกาแฟราคาแพง ว่ามันจะอร่อยล้ำเลิศ หรือว่ามีมาตรฐานเหมือนกันหมด (ขนาดคนยังมีสองมาตรฐานเลย 55) ... กาแฟร้านเดียวกัน คนชงคนละคน บางทีก็ไม่เหมือนกันแล้ว .. แล้วจะคาดหวังอะไรกับกาแฟยี่ห้อเดียวกันแต่คนละสาขา ... ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณจะจ่ายตังค์เพื่อแลกหรือเสพความพึงพอใจในเรื่องอื่น ๆ ... เช่น ถือแก้วกาแฟหรูช่วยเสริมให้ดูดี มีสง่าราศี ติดใจสถานที่ บรรยากาศ ความเป็นกันเอง หรือแม้กระทั่งมีปลั๊กไฟให้ใช้ฟรี ก็อีกเรื่อง ... อันนั้นไม่ว่ากัน และก็ใช่ว่ากาแฟชื่อดัง ที่มีหลายสาขาจะไม่มีมาตรฐานเลย ก็ไม่ใช่ ... ไว้โอกาสหน้า ผมจะพาไปรีวิวร้านกาแฟที่มีสาขา .. และมีมาตรฐานเดียวกัน กาแฟเหมือนกัน คนชงคนละคน คนละสาขา ... แต่รสชาดเหมือนกัน ??? ทิ้งไว้เป็นปริศนาตรงนี้ เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว หลายท่านคงตอบคำถามได้ว่า

“ดอยอะไร .. ไม่เหมือนเดิม” ??? คำตอบ ......................(เติมเอาเอง) สวัสดีครับ

Saturday, December 4, 2010

Review : Overstone Pinot Noir 2009 ไวน์มีเสน่ห์ ชวนลิ้มลอง


ห่างหายไปนาน ... กลับมาคราวนี้ ขออนุญาตนำเสนอเรื่องราวของเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง ที่อาจจะไม่เกี่ยวกับ Cocktail และ Mocktail

เลย ... แต่ก็ถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันทั่วโลก ... อดที่จะนำมาพูดถึงไม่ได้

เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์อันลึกซึ้ง ...


"ไวน์" ..คงไม่ต้องนิยามและอธิบายอะไรมากสำหรับคำ ๆ นี้ และคงไม่ต้องสาธยายองค์ความรู้อะไรกันมากมายเพราะว่าคราวนี้ ขอแค่ review ก็พอครับ


เจ้าขวดนี้ "Overstone 2009 - Pinot Noir" ไวน์ดีจากนิวซีแลนด์ ดินแดนที่เคยไปอยู่
และอยากกลับไปเสมอ ... เจ้าไวน์ขวดนี้ เป็นขวดที่อยากลิ้มลองมานานแล้ว
ได้มีโอกาสสัมผัสเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ... "ดีขนาดนั้นเลยเหรอ ?" อืมมม ..
ผมเองก็ไม่ใช
่เซียน หรือคอไวชนิดแฟนพันธุ์แท้ ลิ้นเทพ จมูกเทวดาอะไรหรอก
แต่ด้วยความชอบและสนใจในศาสตร์แห่งไวน์ เลยพยายามค้นคว้า หาความรู้เพิ่มเติม
อยู่ตลอดเวลา ... ร่ายมาซะยาว เข้าเรื่องเลยดีกว่า


Overstone ขวดนี้ มาจากแคว้น Hawkes' Bay ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออก บนเกาะเหนือของนิวซีแลนด์ .. แคว้นนี้ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่ดีแห่งหนึ่งของประเทศเลยทีเดียว
ความน่าสนใจของ Overstone ขวดนี้ ก็คือ พันธุ์องุ่นชั้นเลิศ "Pinot Noir" (ปิโนนัวร์)
ซึ่งถือว่าคุณภาพอยู่ในระดับดีเยี่ยม และเป็นพันธุ์องุ่นที่เคยนำมาผลิตไวน์ที่แ
พงที่สุดในโลก "Romanee Conti"อีกด้วย ...

Pinot Noir จะมีสีทับทิมใส รสชาตินุ่มละมุน เป็นไวน์ดื่มง่าย รสชาติดี มีกลิ่นผลไม้เขตร้อน
ชุ่มฉ่ำ .... โดยเฉพาะ Overstone ขวดนี้ หยดแรกของไวน์ที่แตะปลายลิ้น ก็สัมผัสได้
ถึงความหอม นุ่ม สดชื่น และหรูหรามีระดับ .. อบอวลด้วยกลิ่นของ Blackberry ฝาดนิดๆ
Acidity และ Structure ละเมียดละไมลงตัว ทานกับอาหารจานเนื้อเบา ๆ หรืออาหารจำพวกพิซซ่า ก็เข้ากันได้ดีไม่น้อย ... ด้วยราคาค่าตัวในระดับ 1,500 บาท ..ขอบอกได้ว่า
คุ้มค่าสมราคา ไม่ผิดหวังกันเลยทีเดียว .. แนะนำให้ลอง ในฐานะ "คนดื่ม" ทั่วไป

ไม่ใช่ "นักดื่ม" ตัวยง



Monday, November 15, 2010


Sunday, May 17, 2009

คั่นเวลา : : กับ "หมาใจดำ"


ห่างหายไปพอสมควรครับ .. สำหรับผู้ติดตามอ่านหลายท่าน อาจจะรู้สึกหงุดหงิด

กับการ "อัพบล็อค" เนื่องจากช่วงนี้เรียกได้ว่า แทบไม่มีเวลาหายใจ .. ทำงาน 7 วันไม่มีวันหยุด

เอาเป็นว่า "จะพยายาม" อัพเดทบ่อย ๆ ครับ เพื่อลูกศิษย์และผู้ติดตามทุกท่าน


เรื่องที่นำมาคั่นเวลานี้ มาจากในชั้นเรียน cocktail ที่เพิ่งจบไปหมาด ๆ ..(วันนี้)

และจากคำแนะนำของเชฟท่านหนึ่ง ซึ่งได้รู้จักในวันที่ไปทำงานนอกสถานที่ ประจวบเหมาะ

หรือช่างบังเอิญจริง ๆ สำหรับ สุราที่ชื่อว่า"หมาใจดำ" ... ฟังชื่อทีแรกรู้สึกงงว่ามีด้วยเหรอ

เหล้าอะไรเนี่ย หน้าตาแบบไหน รสชาติอย่างไร ราคาเท่าไหร่ ผลิตที่ไหน .... สารพัดคำถามที่เกิดขึ้น

ในหัว เพราะไม่เคยได้ยิน ไม่เคยรู้จักจริง ๆ (หลายคนอาจบอกว่าเชยยยยย) ซึ่งหลายคนอาจจะเชย

เหมือนกับผม


ในคอร์ส cocktail ล่าสุด ... มีลูกศิษย์ท่านหนึ่ง เอาตัวอย่างมาให้ดู เพราะผมพูดถึง และมีคำถาม

เกี่ยวกับ สุรา "หมาใจดำ" ... เนื่องจากเพิ่งได้ยินมาหมาด ๆ ไม่กี่วันมานี้เอง ลูกศิษย์คนนี้ก็เลย

เอา "หมาใจดำ" ตัวจริง กลิ่นจริง มาให้ลองชิม ลองสัมผัส ... โอ้วววว ขวดดูสวย โลโก้ดีไซน์ดูเก๋

เห็นแว่บแรกแล้วเกิดปิ๊งส์ .. ที่สำคัญ สุราขวดนี้ผลิตที่ จ.เชียงใหม่ และมีขายแค่ใน จ.เชียงใหม่ เท่านั้น

(ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ ไปขายที่อื่นรึยัง) รูปลักษณ์ภายนอกทำได้ไม่เลยครับ แถมบรรยายสรรพคุณว่า

เป็น "เหล้าดอกไม้" อีกด้วย น่าสนใจ ...... แต่พอดมกลิ่น และชิมรสชาติแล้ว โอ้ยยยยย สุดพรรณนา

... เนื่องด้วยเป็นคนที่ไม่นิยมดื่มนัก เลยรู้สึกว่า รสชาติและกลิ่น "แรง" เอาเรื่องเลยครับ


ใครอยากลองเชิญได้ ราคาขวดละ 390 บาท (มีกล่องให้ด้วยล่ะ) ... วันก่อนเห็นมีวางขายในห้างริมปิง

ส่วนร้านเหล้าอื่น ๆ ที่ทราบมา น่าจะที่ ขันอาสา และ ท่าช้าง (ที่อื่น ๆ จำไม่ได้)


เอาเป็นว่า ฝากไว้เป็นเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ สำหรับสุรายี่ห้อนี้ สุราไทย ที่สำคัญเป็น

"สุราเชียงใหม่" (ภูมิใจนะเนี่ย) .... ผมกำลังลองติดต่อกับทางผู้ผลิต เผื่อถ้ามีโอกาส อาจได้ชักชวน

ลูกศิษย์ และผู้สนใจ ไปลองดูกรรมวิธีการผลิตของเค้ากัน

Tuesday, May 5, 2009

รัม..รัม...รัม ชื่อนี้ "รำ" แต๊ ๆ :: RUM




จิบวอดก้ากันไปแล้ว ...ซดน้ำมะม่วงกันก็แล้ว 555 มาเรียนรู้ spirits กันต่อเลยครับ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า "RUM" ... รัม ("รำ" ภาษาเหนือ แปลว่า อร่อย) อร่อยจริงหรือไม่มาลองดูกัน


:: รัมเป็นเหล้าที่กลั่นมาจากกากอ้อย หรือกากน้ำตาล มีต้นกำเนิดมาจากประเทศทางฝั่งทะเลแคริบเบียน เช่น คิวบา จาร์ไมก้า เปอร์โตริโก้ ... มีรสชาติที่หอมนุ่ม เวลานำดื่ม หรือผสมเป็นค็อกเทล รสชาติจะไม่แรงมากนัก ซึ่งเป็นคุณสมบัติเด่นของ Rum .... จากคุณสมบัติดังกล่าว เราจึงนิยมนำ Rum มาเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มและของหวานอื่น ๆ เช่น ผสมกับกาแฟ... ผสมกับเค้ก...ผสมกับไอศกรีม และที่นิยมมากที่สุดก็คือ ผสมกับ Fruit Punch



เราสามารถแบ่ง Rum เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ (ตามสี) ได้แก่


1. White Rum (Light Rum or Silver Rum) หรือ รัมขาว ... มีสีขาวใส เหมาะที่จะนำไปผสมเครื่องดื่ม เพื่อไม่ให้สีเปลี่ยน ที่เห็นและรู้จักกันดีในเมืองไทย ได้แก่ Bacardi (ฉลากขาว)


2. Gold Rum หรือรัมสีทอง ... มีน้ำสีเหลืองทอง บางชนิดนำไปเก็บบ่มในถังไม้เพื่อให้เกิดสี กลิ่นและ
รสชาติ หรือเกิดจากส่วนผสมของคาราเมลและน้ำตาล รสชาติจะหอมและนุ่ม ยกตัวอย่างที่คนไทยเรา
รู้จักกันดี ได้แก่ "แสงโสม" (บางคนร้อง อ๋อออออ) ... เป็น Gold Rum พันธุ์ไทย ที่โด่งดังไป
ทั่วโลกเลยทีเดียว

3. Dark Rum หรือรัมสีดำ ... มีน้ำเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ส่วนใหญ่จะเก็บหมักบ่มในถังไม้นานประมาณ
7 ปีขึ้นไป หรือผสมคาราเมลหรือน้ำตาลที่เคี่ยวจนเกือบไหม้ ให้รสชาติที่หอม หวานและนุ่มกว่าสองชนิดแรก (ดื่มง่ายสุด ๆ ...ในความชอบส่วนตัว) ยี่ห้อที่คนไทยรู้จัก และขายดีในท้องตลาดบ้านเรา คงหนีไม่พ้น
"Captain Morgan" และ "Bacardi" นิยมมากที่สุด และง่ายที่สุดคือ นำไปผสมกับโค้ก ซึ่งเราเรียกว่า
"Rum&Coke" หรือ รัมโค้ก นั่นเอง



Tuesday, April 28, 2009

พักยก : เย็นชื่นใจ ดับกระหายด้วย Passion Mango


พูดเรื่องสุรา เรื่องเหล้า เดี๋ยวจะมึน ๆ เมา ๆ ... งึก ๆ งัก ๆ (กำลังอินเทรนด์ 555) เสียก่อน เลยขอนำสูตรน้ำผลไม้ง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ..... โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นฤดูร้อน ซึ่งผลไม้ในช่วงนี้ที่เห็นเยอะมาก ก็คงจะหนีไม่พ้น "มะม่วง" ..... เราสามารถนำมาแปรรูปได้เยอะแยะมากมาย กินสด ๆ ก็อร่อย

มะม่วงดิบ (จิ้มพริกเกลือ, กะปิหวาน, น้ำปลาหวาน..ถ้าเป็นคนเหนืออย่างเรา ๆ ก็ต้องน้ำพริกน้ำอ้อย) ...โอ๊ยเปรี้ยวปาก ส่วนผลสุกก็มาปอกเปลือก กินได้ทันที หรืออาจจะแช่เย็นสักหน่อย เพิ่มรสชาติ ...กินคู่กับข้าวเหนียวมูล หรือไอศกรีมก็เข้ากันไม่น้อย (ระวังอ้วน)

บางครั้งเราก็นำเอาผลสุก..โดยเฉพาะพันธุ์ "น้ำดอกไม้" มาปั่นเพื่อทำเป็นเครื่องดื่ม ได้ทั้ง mocktail และ cocktail .... แต่ร้อน ๆ แบบนี้ กินอะไรเปรี้ยว ๆ เย็น ๆ คงจะดีไม่น้อย แถมทำได้ง่ายมาก ๆ


ว่าแล้วก็ไปสอยมะม่วงต้นในบ้านมาจัดการทำเจ้า Passion Mango ดีกว่า ..... (เรียกให้เก๋ ๆ เท่ ๆ ไปงั้นแหละครับ) จริงๆ แล้วก็คือน้ำมะม่วง(ดิบ)สด ๆ นั่นเอง ... มาลุยกันเลยครับ


ส่วนผสม มะม่วงดิบ 2-3 ลูก ตามต้องการ

(เวลานำมาหั่นแล้วจะได้ประมาณ 3 -4 ถ้วยตวง)

น้ำต้มสุกเย็น+น้ำร้อน ในอัตราส่วน 1:1

(มะม่วง 1 ถ้วย + น้ำเย็น 1/2 ถ้วย และน้ำร้อน 1/2 ถ้วย)

น้ำเชื่อม 1/4 - 1/2 ถ้วย (ตามชอบ)

(ทำโดยใช้อัตราส่วน 1:1 เช่นกัน คือ น้ำตาล 1 ส่วน น้ำร้อน 1 ส่วน....

ไม่ต้องต้ม แค่คนให้เข้ากัน)

เกลือป่นประมาณ 1/2 ช้อนชา (หากทำมาก ก็ใส่เกลือเพิ่มขึ้นตามส่วน)


ขั้นที่ 1 ก่อนอื่นก็เลือกมะม่วง(ดิบ)เสียก่อน ... ใช้มะม่วงแรด มะม่วงแก้ว หรือตลับนาค ก็ได้ (ผมใช้อย่างหลัง) จะได้รสชาติที่กลมกล่อม มีกลิ่นเปรี้ยวออกรส ... พยายามเลือกที่เปรี้ยวจัดหน่อยครับ

หลังจากนั้นก็นำมาปอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาด หั่น(หรือเฉาะ) เป็นชิ้นเล็ก ๆ หน่อย


ขั้นที่ 2 นำมะม่วงที่เตรียมไว้แล้ว มาใส่ลงในโถปั่น (หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า Moulinex) แล้วเติมน้ำเปล่า (หรือน้ำต้มสุก) ลงไปตามปริมาณ ......... แล้วปั่นด้วยความแรงสูง จนเนื้อมะม่วงละเอียดกลายเป็นน้ำ


ขั้นที่ 3 เติมน้ำร้อนลงไป คนให้เข้ากัน (หรืออาจปั่นด้วยความแรงต่ำประมาณ 1-2 วินาที)


ขั้นที่ 4 นำน้ำมะม่วงที่ได้ ไปกรองด้วยผ้าขาวบาง คั้นเอาแต่น้ำ


ขั้นที่ 5 เติมเกลือและน้ำเชื่อม ....ชิมและปรุงรสตามชอบ


สุดท้ายก็เตรียมพร้อม ใส่น้ำแข็งรอได้เลยครับ ...... เท่านี้ก็จะได้ passion mango ที่เย็นชื่นใจ แถมสะอาด ปลอดภัย (เพราะทำเอง) ... หรือจะนำไปแช่เย็นจัดแล้วดื่มโดยไม่ใส่น้ำแข็ง ก็อร่อยได้อารมณ์อีกแบบ

ที่สำคัญทำง่าย และราคาถูกด้วยครับ


ก่อนจบเรื่องนี้...แอบกระซิบนิดนึง สำหรับ "คอ cocktail" .... จะเติม vodka หรือ rum ลงไปสัก 1/2 หรือ 1 ออนซ์ ก็ไม่ว่ากันนะครับ ก็จะกลายเป็น cocktail มะม่วงสด ... เจ๋งไปอีกแบบนะจะบอกให้

Saturday, April 25, 2009

บทที่ 4.1 : เมื่อ Absolut ขยายพันธุ์




ฟังชื่อเรื่องอาจรู้สึกแปลก ๆ ... ขยายพันธุ์อย่างไร อะไรคือขยายพันธุ์ .... ในบทก่อนหน้านี้ได้พูดถึงเรื่อง vodka ในแบบมาตรฐานสากล คือ น้ำใส ๆ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น .. แต่มี vodka อยู่ยี่ห้อหนึ่งที่นำผลิตภัณฑ์ มาแตกไลน์ได้อย่างน่าสนใจ แต่งกลิ่นต่าง ๆ มากมายนับสิบชนิด นั่นคือ Absolut Vodka นั่นเอง..... ทำถึงขนาดบางชนิด เป็น "Limited Edition" กันเลยทีเดียว ทำจนกระทั่งในเมืองไทย มีอาชีพใหม่เกิดขึ้น ในสังคมของผู้นิยม spirits นั่นก็คือ ซื้อขวด เก็บขวด ขายขวดAbsolut (กลายเป็นของสะสมกันไปเลย)


มาดูกันว่ามีอะไรกันบ้าง.....(ดูภาพประกอบจากบทที่แล้ว)

Absolut Ruby Red (ขวดขาวใส ตัวอักษรสีแดงส้ม)-- มีกลิ่นและรสชาติออกแนว citrus fruit .. แต่จะมีสีแดงทับทิม (คล้าย ๆ น้ำส้มทิปโก้สีทับทิม)

Absolut 100 (ขวดดำ ตัวอักษรขาว)-- เรียกง่าย ๆ คือ แอบโซลูทร้อย 555... เป็น vodka ที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ โดยมีความบริสุทธิ์ของส่วนผสมจากธรรมชาติ กรรมวิธีการผลิตที่พิถีพิถัน(แบบสุด ๆ) .. ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล และที่สำคัญตัวเลข 100 สื่อความหมายได้สองอย่างคือ อย่างแรก หมายถึง pure vodka อย่างที่สองคือระยะเวลา 100 ปี จาก ค.ศ. 1879 (ปีที่เริ่มผลิต) จนกระทั่ง 1979 (ปีที่เริ่มทำตลาดและแพร่หลายทั่วโลก) ยี่ห้อ Absolut ยังคงความเป็น Original ไม่เคยเปลี่ยน (เค้าว่างั้น)

Absolut Raspberri (ขวดแดง ตัวอักษรขาว) -- ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นกลิ่นของราสเบอรี่ อ๊ะ ๆ !! ถ้าสังเกตให้ดี อาจจะคิดว่า rasberri นั้นเขียนผิด ... ทำไม่ไม่สะกดด้วยตัว y ... มาดูข้อความอธิบายจากเวปของ absolut ดีกว่า(ไม่อยากแปล เดี๋ยวสื่ออารมณ์ไม่ถูก) ABSOLUT RASPBERRI is not a misspelling. It’s meant that way to remind you of the Swedish origin of ABSOLUT. Get the rest of the Swedish tale about ABSOLUT RASPBERRI right here

Absolut Vanilia (ขวดขาว ตัวอักษรเทา) -- ชัดเจนครับ สำหรับ "วานิลเลีย" หรือ "วานิลลา" นั่นเอง


Absolut Citron (ขวดขาว ตัวอักษรเหลือง) -- คำว่า citron สื่อความหมายคล้ายคำว่า citrus คือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ในที่นี้หมายถึง มะนาว (Lemon)

Absolut Peppar (ขวดขาว ตัวอักษรดำ, แดง) -- คงพอเดากันออกนะครับว่า Peppar คือ Pepper นั่นเอง ถ้าให้เดา คงมีกลิ่นและความเผ็ดประมาณพริก แน่ ๆ เลย เอาไปผสมเป็น Bloody Mary คงดีไม่น้อย ... แค่พูดถึงก็ฉุนติดปากติดคอแล้วครับ

Absolut Mandrin (ขวดขาว ตัวอักษรส้ม) -- เป็น vodka รสสัมนั่นแหละครับ ชัดๆ ไม่เพี้ยน

Absolut Pears (ขวดขาวเขียว ตัวอักษรเขียว) -- ไม่ต้องเดากันให้วุ่นวาย กลิ่น "ลูกแพร์" แน่นอน

Absolut Kurant (ขวดขาว ตัวอักษรม่วง) -- กลิ่นแบล็คเคอร์เรนท์ครับ ลองมาดูคำอธิบายสั้น ๆ กัน อ่านแล้วชวนติดตามจริง ๆ You probably can figure out the flavor of ABSOLUT KURANT even if you don’t speak Swedish. If not, find out everything about the name and taste right here
Absolut Mango (ขวดขาว ตัวอักษรเหลือง ที่ขวดมีลายริ้ว ๆ เหมือนริบบิ้นสีเหลือง,แดง) -- ไม่ต้องบอก ไม่ต้องแปลกันให้วุ่นวาย เด็ก ป.4 ยังตอบได้เลย จริงป่าว ??

Absolut Apeach (ขวดขาว ตัวอักษรขาว ขวดด้านล่างมีฝ้าสีส้มเข้ม ไล่เฉดขึ้นมาเป็นส้มอ่อนๆ คล้าย ๆ สีของพีช) -- ก็คงพอเดาได้นะครับ ขวดนี้หอมมาก เปิดขวดปุ๊บ กลิ่นพีชลอยเข้ามาเตะจมูกปั๊บ แม้รสชาติจะออกขมนิด ๆ แต่ความหอมก็แทนที่ได้อย่างมีเสน่ห์ที่เดียว

Absolut Limited Edition (ขวดสีทองแบบในรูปเลยครับ) -- อันนี้รู้แต่ว่าเป็นขวดทอง ๆ แต่ไม่รู้ว่ารสชาติและกลิ่น รวมถึงรายละเอียดอื่น ๆ เป็นอย่างไร เพราะไม่เคยเห็นของจริงเลยครับ (อยากเห็นเป็นบุญตาสักหน่อย) ดูแล้วหรูสมเป็น limited edition จริง ๆ ครับ ส่วนราคาคงไม่ต้องพูดถึง !!!